วันพฤหัสบดีที่ 1 มิถุนายน พ.ศ. 2560

อะไรกันว้ามีป๊ะป๋าบ้าSEX (37)

เกิดมาไม่เคยคิดว่าจะรักใครได้มากมายขนาดนี้
เกิดมาไม่เคยภูมิใจและดีใจมากมายเท่ากับวินาทีแรกที่ได้เห็นหน้าเขา
เกิดมาไม่เคยคิดว่าต่อไปต้องทุ่มเททุกสิ่งทุกอย่างเพื่อใครได้มากมายขนาดนั้น
เกิดมาไม่เคยคิดว่าชีวิตของตัวเองจะขึ้นอยู่กับใคร นอกจากตัวของตัวเอง แต่ในวันนี้กลับไม่ใช่ ชีวิตจะอยู่ได้อย่างไรถ้าหากขาดเขาไปสักคน
เกิดมาไม่เคยคิดว่าฃีวิตของตัวเองจะได้ทำหน้าที่ที่ยิ่งใหญ่มากมายขนาดนี้ กับการที่ต้องรับผิดชอบชีวิตอีกหนึ่งชีวิตที่มีเพียงเราเป็นที่พึ่งพิง
เกิดมาไม่เคยคิดว่าความกว้าวหน้าการเติบโตของใครสักคนจะทำให้เรารู้สึกภูมิใจและปลาบปลื้มใจได้ทุกวินาทีที่เขาเติบโตขึ้นอย่างมั่นคงและสวยงาม
เกิดมาไม่เคยคิดว่าชีวิตนี้จะยอมตายแทนเขาได้

ทุกสิ่งทุกอย่างดูเปลี่ยนแปลงไปหมดเมื่อเขากว้าวเดินเข้ามาในชีวิตของเรา  สองมือสองเท้าเล็กๆที่เราต้องคอยปกป้อง ภาระหน้าที่ที่เขายัดเยียดให้เราต้องทำให้ในทุกๆวัน
แต่เรากลับภาคภูมิใจและยินดีที่จะทำให้เขาได้ทุกอย่าง ขอเพียงมีรอยยิ้ม และเสียงหัวเราะส่งมาให้ ให้คนที่ได้ขึ้นชื่อว่าพ่อ ทุกอย่างพ่อคนนี้จะคอยดูแลและปกป้องลูกรักด้วยชีวิต 


"ต้นๆ ไอ้ต้น"เสียงเรียกของพี่บัวร้องดังขึ้นพร้อมๆกับท่าทางที่รีบร้อนกระวนกระวาย
"มีอะไรพี่บัว" ผมร้องถามอย่างอยากรู้อยาเห็นปนสงสัย กับท่าทางของพี่บัว 
"อีคำแก้ว เมียมึง กำลังจะคลอดลูก" พี่บัวยืนหอบหายใจพลางเช็ดเหงื่อ บนใบหน้า ในขณะที่หัวใจของผมกลับพองโตเต็มไปด้วยความตื่นเต้น
และความดีใจ
"อะไรนะพี่บัวพูดใหม่สิ พี่บัวคำแก้วทำมัยคำแก้วเป็นอะไร" เสียงของผมระรัวถามพี่บัวด้วยความสั่นเทา มือไม้แขนขาสั่นไปด้วยความตื่นเต้น
"เมียมึงกำลังจะคลอด..." พี่บัวพูดไม่ทันจบ ผมก็วิ่งออกมาทันที เป็นครั้งแรกในชีวิต ที่รู้สึกว่าตัวเองวิ่งได้เชื่องช้ามากมาย ระยะทางจากนากลับมาบ้าน
ไม่ใช่ระยะใกล้ๆ ห่างไกลกันสามสี่โล แต่ผมวิ่งรวดเดียวจนถึงบ้าน 
บ้านหลังเล็กที่พ่อแสงแม่จันทรืสร้างให้ เมื่อ 7 เดือนก่อน ตอนที่พ่อแม่คำแก้วพาลูกสาวมาหาที่บ้าน เพราะคำแก้วต้งท้องได้เกือบสองเดือนแล้ว
อีกสามวันให้หลังพิธีแต่งงานของผมก็ถูกจัดขึ้นท่ามกลางสักขีพะยานและเสียงชุบซิบนินทาของใครอีกหลายๆคน จากนั้นบ้านหลังเล็กก็ถูกปลูกขึ้นใหม่
บนที่ดินของพ่อแสง บ้านของผมกับคำแก้ว ที่นาผืนน้อยที่พ่อแสงแบ่งให้ผมกับคำแก้วเป็นของขวัญ ททำให้ผมมีภาระที่ต้องทำทุกอย่างเพียงคนเดียว
ทั้งๆที่ผมอายุเพียง 16 ปี กลับกำลังจะเป็นพ่อคนในอีกไม่ช้า ไม่นาน 

บ้านหลังเล็กที่มีผู้คนมากมายกำลังเดินกันไปมา อย่างที่นานๆครั้งจะได้เห็น ถ้าไม่มีเหตการณ์บางอย่างเกิดขึ้น เสียงร้องของคำแก้วดังเข้ามากระทบโสตประสาท
ทำเอาผมแทบคลั้งทำอะไรแทบไม่ถูก มือไม้สั่นไปหมด เกิดมาเพิ่งเคยเป็นแบบนี้ครั้งแรก ในชีวิต ความกลัวมากมายวิ่งวุ่นในหัวของผม 
เป็นห่วงคำแก้ว เป็นห่วงลูกในท้องที่กำลังจะลืมตาดูโลกในไม่ช้า สรพเสียงต่างๆที่ดังมาจากผู้คนมากมากกลับดับสูญหายไปจนหมด 
ผมไม่ได้ยินเสียงอะไรเลย คิดแต่อย่างเดียวขอให้ทั้งสองคนปลอดภัย 

"แว้" เสียงเล็กๆร้องดังขึ้นจากบนบ้าน หัวใจของผมพองโตจนแทบระเบิดออกจากกัน เรี่ยวแรงที่เคยมีหายไปจนหมด 
ผมทั้งกลัวทั้งดีใจ จนอยากที่จะอธิบายให้เข้าใจความรู้สึกของผมได้ 

หมอตำแยประจำหมู่บ้านอุ้มเด็กทารกตัวเล็กๆ ผิวชีชมพูจนเกือบแดงลงมาข้างล่าง ทันทีที่เห็นหน้าลูก น้ำตาแห่งความภาคภูมิใจและความดีใจก็เข้ามาแทนที่
ความกลัว 

"เด็กผู้ชาย" เสียงแม่หมอตำแยบอกกับทุกคน เสียงร้องแซงแช่ด้วยความดีใจก็ดังไปทั่ว มีใครหลายๆคนเข้ามากอดเข้ามาจับมือผมเพื่อแสดงความดีใจด้วย
แต่สายตามกำลังจ้องหน้าของเด็กทารกในอ้อมกอดของแม่หมอตำแยอย่างไม่วางสายตา ผมอยากจะเข้าไปจับไปกอดไปอุ้ม แต่กลัวกลัวเหลือเกินว่าสองมือ
ที่กร้านกรำของผมจะทำให้ลูกชายเจ็บ เลยได้แต่ยืนมองด้วยความชื่นชมและภูมิใจให้กับลูกอยู่ห่างๆ เหมือลูกจะรู้เพราะผมเห็นรอยยิ้มเล็กๆที่ส่งมาให้ผม
วินาทีนั้น แม้ต้องตายแทนลูกได้ ผมก็พร้อมที่จะยอมตายแทน ผมจะต้องปกป้องลูกให้เติบโตแข็งแรง และปลอดภัย ภาระหน้าที่ที่พ่อวัย 16 อย่างผมจะทำได้
ไม่ว่าจะหนักหนาสาหัสขนาดใหนผมก็จะทำ ทำเพื่อลูกของผม ลูกที่ตอนนี้เขาคืนชีวิตและลมหายใจของผม ถ้าหากขาดเขาไปสักคนผมคงไม่อาจมีชีวิตอยู่ได้บนโลกใบนี้แน่นแน

"อรรถพล" คือชื่อที่ผมตั้งให้กับลูกของผม มันเป็นชื่อที่ติดอยู่ในหัวของผมตลอดมา ผมแทบจำไม่ได้แล้วว่าเป็นชื่อใคร และมีความสำคัญกับผมยังไงบ้าง  
แต่ทุกครั้งที่คิดถึงชื่อนี้ผมมักจะยิ้มอย่างมีความสุข และลูกผมก็คงจะมีความสุข เช่นกันกับชื่อที่ผมตั้งให้กับเขา ส่วนนามสกุลของผม ที่ผมยังคงแปลกใจ
เพราะไม่เหมือนกับใครเลยสักคนในบ้าน ทั้งพ่อแสง พี่บัว แม่จันทร์ หรือแม้แต่ตะวันเองก็ตาม แต่ความจริงก็ถูกเปิดเผยให้ผมน้ำตาตกในเหมือนกัน
เมื่อพ่อกับแม่บอกผมว่าผมเป็นลูกเลี้ยงของพ่อกับแม่ ทั้งๆที่ผมคิดมาตลอดว่าผมเป็นน้องพี่บัวกับตะวัน มาโดยตลอด ผมเสียใจไปพักใหญ่ๆกว่าจะทำใจได้ ในเรื่องนี้
แต่ถึงจะยังไง แม่จันทร์กับพ่อแสง ก็ยังเป็นพ่อกับแม่ที่ผมรักมากที่สุดอยู่ดี และท่านก็รักผมมากๆด้วยเช่นกัน เมื่อผมคิดได้ผมจึงหายน้อยใจและตั้งใจ
ทำงานเพื่อช่วยแบ่งเบาภาระของพ่อกับแม่ให้มากที่สุด 

เกิดมาไม่เคยคิดเลยว่าการเป็นพ่อคนจะเหนื่อยได้มากขนาดนี้ แม้จะเหนื่อยใจแทบขาดจากการทำงานหนัก แต่พอกลับถึงบ้านได้เห็นหน้าลูกชาย
ที่วิ่งเข้ามากอดด้วยความดีใจ ความเหน็จเหนื่อยจากการทำงานหนักมาทั้งวันก็หายไปจนหมด เพียงไม่กี่ปี จากวันแรกที่ผมเห็นหน้าลูกชายที่ตัวเล็กๆ
ในวันนั้นเหมือนจะเพิ่งผ่านไปเพียงไม่นานทุกอย่างยังคงชัดเจนอยู่ในความทรงจำ ตอนนี้น้องพล ลูกชายหัวแก้วหัวแหวนของผมก็วิ่งได้คร่องปรื๋อเลย
ทั้งๆที่เพิ่งจะ 5 ขวบเอง แต่หล่อน่ารักบาดใจสาวๆเหมือนท่านพ่อเลย ยิ้มออกมาที ทำเอาหายๆคนอดที่จะปลื้มในความน่ารักน่าชังของน้องพลไม่ได้เลย
แต่ อีกไม่นาน ผมคงได้เห็นหน้าลูกเพียงแค่ช่วงปิดเทอม เพราะตากับยายของน้องพล จะให้หลานได้เข้าไปเรียนหนังสือในเมือง
ที่ห่างจากที่นี้มากโข แต่ทำไงได้แม้จะไม่อยากจากลูกแต่ก็ต้องทำใจเพราะอนาคตของลูกสำคัญมากขนาดใหนใครๆก็รู้ ผมเองก้ไม่อยากให้ลูกมาเป็นชาวนาเหมือนผมหรอก
ต้องทำงานให้เยอะขึ้นกว่าเดิมเพื่อที่จะเก็บเงินส่งลูกเรียนให้สูงๆ ซึ่งผมก็คงทำได้เพียงเท่านี้เพราะผมเองก้ไม่มีความรู้อะไรเลย อ่านหนังสือแทบไม่ออก
แต่อ่านภาษาไทยออกนิดหน่อย อย่างน้อยก็เขียนชื่อนามสกุลตัวเองได้อย่างคล่องแคลว ถ้าจะอ่านจริงๆก็นั่งสกดกันนานหน่อยกว่าจะอ่านจนจบประโยชน์ 
ซึ่งมันคงไม่มีประโยคน์สำหรับลูกสักเท่าไรไม่อยากให้ลูกโง่เหมือนตัวเอง แม้จะคิดถึงแทบขาดใจก็ต้องทนยอมให้ลูกห่างไกลตัวเอง 
ทำได้เพียงแค่สวดมนต์อ้อนวอนขอพรพระให้ลูกอยู่รอดปลอดภัย และเป็นกำลังใจให้ อยู่ห่างๆ 

ทุกวันเวลา ผมรอคอยช่วงปิดเทอมที่ ตากับยายของน้องพลจะให้หลานกลับมาอยู่ที่บ้านแม้จะเป็นช่วงเวลาสั้นๆ ก็ทำให้ผมมีความสุข และภูมิใจในตัวลูกชายของผม
ที่เห็นเขาเป็นเด็กฉลาดเรียนเก่งและน่ารักยิ่งกว่าใครๆอย่างนี้ 

"พ่อ ๆ ผมได้ทุนเรียนดีจากบริษัท พิบูลกิจ ของประเทศไทย ครูเขาส่งชื่อผมไป" ในช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์ที่ไม่ใช่ในช่วงปิดเทอม ลูกชายของผมที่กำลัง
จะโตเป็นหนุ่มในอีกไม่นานกลับมาที่บ้านมาบอกผมในความสำเร็จของเขา ให้ผมได้ภูมิใจ จนน้ำตาไหล เพราะน้องพล ต้องไปสอบแข่งขันชิงทุนการศึกษา
จากเด็กคนอื่นๆนับพันคน เพื่อที่จะเอาแค่ 100 คน และคนที่ 100 นั้นก็คือลูกของผมเอง ที่สำคัญทุนนี้ให้อย่างต่อเนื่องจนกว่าจะจบ ชั้นประถม
และถ้าผลการเรียนดี เขาก็ให้ต่อจนจบชั้น ม.6 นั้นทำให้น้องต้นดีใจ มากที่สุด 
ลูกบอกกับผมว่าพ่อจะได้ไม่ต้องทำงานหนักมากเพราะเงินทุนที่ได้เพียงพอที่จะใช้ในแต่ละเดือนอย่างไม่เดือนร้อนมากนักถ้าใช้อย่างประหยัด พ่อจะได้ไม่เหนื่อย
คำพูดของลูกทำเอาผมแทบกลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่ กอดลูกชายตัวเองแน่น ด้วยความภูมิใจ สำหรับเด็กอายุ 10 ขวบอย่างน้องพล คิดได้ขนาดนี้ผมเองก็ภูมิใจมากที่สุดแล้ว 

"พ่อๆ นี้ชุดนักเรียนใครอะ " น้องพลถามผมเมื่อลูกทำความสะอาดบ้านครั้งใหญ่ ทำให้ต้องโยกย้ายข้าวของในบ้านไปมา และน้องพลก้ไปเจอชุดนักเรียน
เก่าๆ ที่สีซีดๆ ที่ผมเองก้แทบจำไม่ได้แล้วว่าครั้งหนึ่งมันเคยเป็นของผม เมื่อผมบอกลูกไปว่า ผมเคยใส่เรียนตอนเป็นเด็ก น้องพลก็ดีใจและขอชุดนักเรียน
เก่าๆของผมไป 

"ผมขอ ผมจะใส่ไปรับทุน ผมใส่ชุดพ่อเหมือนผมกับพ่อได้รับทุนทั้งสองคนเลย ผมขอนะ" ลูกชายรบเร้าอยากจะได้ ผมเองก็อยากจะให้แต่กลัวลูกจะอายเพื่อนๆ
เพราะสีมันออกเหลืองๆไปซะแล้วแม้จะเก็บไว้ในห่อผ้าอย่างดีก็ตาม 
"ไม่อายเพื่อนหรอ ชุดมันเก่าแล้วนะ ใส่ชุดใหม่ดีกว่ามัยพ่อพอมีเงินพ่อจะชื้อให้" ผมบอกน้องพลไปเพราะกลัวลูกจะอายเพือนที่ใส่ชุดเก่าๆ
"ผมมีสองชุดแล้ว ยายชักให้ ทุกวันตอนเย็น แต่ตัวนี้ผมจะใส่ไปรับทุนแล้วจะเก็บเอาไว้ดูต่างหน้า ผมจะเรียนให้เก่งๆไม่ให้พ่อผิดหวัง" 
ผมยิ้มอย่างภาคภูมิใจ กับลุกชายที่ผมรักมากที่สุด แม้ต้องตายแทนลูกเมื่อเขามีอันตราย ผมก็พร้อมที่จะตายแทนลูกผมได้อย่างไม่ลังเลเลย 
แผ่นหลังของลูกชายที่เดินจากไปห่างไกลออกไปเรื่อยๆ ทำเอาผมใจหาย แต่อีกไม่นานลูกก็จะกลับมาสู่อ้อมกอดผม แม้จะห่วงๆ แต่ก็อวยพรให้เขาปลอดภัย

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น